มิถุนายนปีที่แล้ว กระทรวงการท่องเที่ยวของเนปาลประกาศแผนการที่จะย้ายเบสแคมป์ของยอดเขาเอเวอเรสต์ให้ลงมาจุดที่ต่ำกว่าเดิมซึ่ง ณ ตอนนี้อยู่ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 5,364 เมตร เนื่องจากภาวะโลกร้อนที่กำลังเป็นที่น่ากังวล และเหล่าบรรดานักปีนเขาที่ไปเยือนเอเวอเรสต์เป็นจำนวนมากขึ้นทุกปี
เอเวอเรสต์เบสแคมป์ หรือ EBC ตั้งอยู่บนธารน้ำแข็งคุมบูซึ่งแคบและเล็ก จึงทำให้นักปีนเขาหลายร้อยคนที่ต้องผ่านจุดนี้ เผชิญกับความเสี่ยงทุกๆ ปี ทั้งปัญหาสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงจากภาวะโลกร้อน
ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ "เจอขยะ" สะสมนับร้อยกิโลกรัม จากนักท่องเที่ยว
อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้น ส่งผล “เอเวอร์เรสต์” หิมะลดลง!
ตลอดจนขยะสะสมจากนักปีนเขามักง่าย ความคิดในการประกาศย้ายที่ตั้งเบสแคมป์จึงได้ถูกเสนอขึ้นมาโดยรัฐบาลเนปาล แต่กระนั้นแผนการย้ายนี้กลับไม่ได้รับความเห็นด้วยจากชุมชนชาวเชอร์ปาและกลุ่มนักปีนเขาที่บุกเบิกเส้นทาง
โดยชาวเชอร์ปาบอกเหตุผลกับสำนักข่าวบีบีซีว่า การย้ายเบสแคมป์ไม่สามารถทำได้จริง ประกอบกับในเวลานี้ยังไม่มีจุดไหนที่จะเป็นที่ตั้งเบสแคมป์ใหม่ได้ คำพูดของชาวเชอร์ปาที่เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของเอเวอร์เรสต์ถือว่ามีน้ำหนักมากพอสมควรที่จะทำให้แผนการย้ายนี้ไม่สำเร็จ ความคิดที่ไม่สมควรย้ายเบสแคมป์กระจายไปในวงกว้าง
โดยกระทรวงการท่องเที่ยวของเนปาลและสมาคมนักปีนเขาของเนปาลเปิดเผยว่ามีผู้เข้าร่วมเสนอแนะความคิดเห็นมากกว่า 95% ที่ปฏิเสธแผนการนี้ อย่างไรก็ดี ทางการเนปาลบอกกับบีบีซีว่าจะยังคงศึกษาผลกระทบและสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปแม้ว่าในตอนนี้แผนการย้ายจะถูกเลื่อนออกไปก่อน
ย้อนกลับไปปีที่แล้วที่ทางการเนปาลเริ่มพูดถึงแผนการย้ายเบสแคมป์ โดยระบุว่าจุดตั้งเบสแคมป์ใหม่ต้องอยู่ต่ำลงไปอีกประมาณ 200-400 เมตร ต่ำกว่าที่อยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งจุดเริ่มต้นแนวคิดการย้ายนี้เนื่องมาจากว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลทำให้ธารน้ำแข็งละลายเร็วขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงจึงจำเป็นต้องย้ายไปยังเบสแคมป์ที่ไม่อยู่ในจุดที่มีธารน้ำแข็ง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หลายคนพบว่าธารน้ำแข็งคุมบูละลายเร็วขึ้นเรื่อยๆ เฉกเช่นเดียวกับที่อื่นๆ ในเทือกเขาหิมาลัย
ขณะที่ผลการศึกษาจากทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยลีดส์เมื่อปี 2018 แสดงให้เห็นว่าแต่ละปีส่วนหนึ่งของเบสแคมป์มีขนาดแคบลง 1 เมตร ส่วนการศึกษาอื่นๆ ที่แขนงเดียวกันพบว่าหนองน้ำและทะเลสาบในธารน้ำแข็งที่สูงที่สุดของโลกกว้างขึ้น เนื่องจากรับน้ำที่ละลายไหลลงมาจากธารน้ำแข็ง สิ่งนี้ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้แก่กลุ่มนักปีนเขาอย่างยิ่ง
ศาสตราจารย์บริน ฮับบาร์ด แห่งมหาวิทยาลัยอเบอร์ริสต์วิธ ซึ่งเป็นผู้จัดทำโครงการเฝ้าสังเกตสภาวะของน้ำแข็งในธารน้ำแข็งเป็นเวลา 3 ปี ระบุว่าในขณะที่น้ำแข็งละลาย พวกเศษหินบนพื้นผิวน้ำจะเป็นตัวแปรที่ยิ่งทำให้หนองน้ำทั้งหลายรวมตัวกันจนกลายเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่
ขณะที่กลุ่มนักปีนเขาและทางการเนปาลบอกว่าน้ำในลำธารเริ่มไหลบริเวณตรงกลางของเบสแคมป์ ในขณะที่รอยแยกก็เริ่มเห็นชัดว่าขยายกว้างขึ้นและเร็วขึ้นด้วย
เอเดรียน บอลลิงเกอร์ ผู้ก่อตั้งบริษัททัวร์ปีนเขาอัลเพนโกลว์ เอ็กซ์เพดิชัน บอกว่าตัวเขาเห็นด้วยในแผนการย้ายเบสแคมป์ เพราะในอนาคตทุกคนจะได้เห็นหิมะถล่ม น้ำแข็งละลาย และหินที่ถล่มลงมาแน่นอนคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ธารน้ำแข็งคุมบู บนเส้นทางที่เรียกว่า เซาท์ โคล ก่อนจะถึงยังยอดเขาเอเวอเรสต์ เป็นจุดที่มีการตัดกันของรอยแยกบนธารน้ำแข็ง จนเกิดเป็นก้อนหรือแท่งน้ำแข็งที่เรียกว่า Serac โดยมันจะมีขนาดใหญ่อาจจะเท่าบ้านหรือบางทีก็ใหญ่กว่าด้วยซ้ำ แน่นอนว่าพวกมันเป็นอันตรายต่อนักปีนเขา เนื่องจากก้อนมหึมานี้อาจล้มลงมาได้ทุกขณะโดยไม่มีแม้แต่สัญญาณเตือนล่วงหน้า ซึ่งชาวเชอร์ปาที่ปีนเขาบอกว่าจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องข้ามธารน้ำแข็งคุมบูนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น แต่ถ้าย้ายเบสแคมป์นั่นแปลว่าจะต้องเดินเป็นระยะทางไกลกว่า 3 ชั่วโมง ซึ่งจะยิ่งทำให้ต้องใช้เวลามากขึ้นไปอีก และเสี่ยงที่จะข้ามธารน้ำแข็งคุมบูไม่ทันก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเสียงส่วนใหญ่จะไม่เห็นด้วยที่จะย้ายเบสแคมป์ แต่เกือบทุกคนก็ยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่าในเวลานี้เบสแคมป์มีจำนวนคนที่หนาแน่นมาก
อย่างในช่วงนี้ที่เป็นฤดูกาลปีนเขา ทางการเนปาลออกใบอนุญาตให้นักปีนเขาไปแล้วทั้งสิ้น 478 คน นั่นหมายความว่าจะมีคน 1,500 คน ซึ่งรวมทีมงานที่เกี่ยวข้องและทั้งหมดจะอยู่ที่เอเวอเรสต์ ในขณะที่ใบอนุญาตที่เคยออกเยอะสุดถูกบันทึกไว้เมื่อปี 2021 ทั้งสิ้น 403 คน
ดามบาร์ ปาราจูลี ประธานสมาคมผู้ให้บริการคณะนักเดินทางในเนปาล บอกว่า ในเวลาที่เริ่มมีคนจำนวนมากอยู่ที่เบสแคมป์ พื้นที่ของที่นั่นก็ขยายใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัวในช่วงปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้นก็เพิ่มความเสี่ยงต่อสภาวะแวดล้อมที่อยู่รอบข้าง เช่น ในเบสแคมป์มีบริการนวด หรือแม้แต่สันทนาการต่างๆ เพื่อความบันเทิง ซึ่งจำเป็นต้องตั้งเต้นท์ขนาดใหญ่หลายหลัง
ความกังวลนี้ถูดส่งต่อไปยังซูดาน คีราติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวของเนปาล โดยเขาระบุว่าได้รับเรื่องร้องเรียนนี้แล้ว และเห็นแล้วว่าเบสแคมป์กำลังจะกลายเป็นตลาดท่องเที่ยวเหมือนในกรุงกาฐมาณฑุ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ และจะมีเริ่มตรวจสอบโดยเร็วที่สุด